สารคดี มหาภัยพิบัติที่จะฆ่าล้างมนุษย์ (รวมตอน) EARTH

  • เมื่อวานซืน
การถอดข้อความ
00:00ภาษาอังกฤษ
00:20จะเกิดอะไรขึ้นหากภายในปี 2025 นั้น
00:24โลกเราทั้งใบจะถูกปกคลุมไปด้วยแสงออรอร่าที่แปลกประหลาด
00:28และผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นอาจทำให้ระบบการทำงานของภาคอากาศยานเกิดความล้มเหลว
00:34เครื่องบินที่อาจร่วงลนจากท้องฟ้าอย่างง่ายได้
00:38หรือสัญญาณอินเตอร์เนททั้งหลายเกิดขัดข้องทั่วทุกมุมโลก
00:42หรือไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูญมากยิ่งขึ้นจากภาวะโลกร้อน
00:47ส่งผลให้เข้าท่วมบริเวณเมืองที่อยู่ริมทะเลนั้นจมหายไป
00:51สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะนำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่อีกครั้ง
00:59ความน่าสะพลึงกลัวทั้งหมดที่กล่าวมานี้
01:02อาจมีสาเหตุหลักมาจากพวกแม่เล็กของโลกเรานั้นกำลังจะพลิกกลับด้านนั้นเอง
01:17ความน่าสะพลึงกลัวทั้งหมดที่กลับด้านนั้นกำลังจะพลิกกลับด้านนั้นเอง
01:37ขอต้อนรับเข้าสู่ Next
01:39ในวันนี้เราจะพาคุณไปดูเรื่องราวของพระพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้กับโลกของเรา
01:48ย้อนกลับไปเมื่อราว 100 ปีก่อน
01:51คำว่าสนามแม่เล็กโลกก็ได้บัญญัติขึ้นมา
01:54เมื่อนักวิทยาศาสตร์นำว่า Arthur Holme
01:57ได้เสนอธิษฐีวงจรกระแสการพาความร้อน
02:01ที่ว่าการโลกนั้น
02:03มีการถ่ายเทความร้อนออกมาสู่เนื้อโลก
02:06เนื่องจากการสลายตัวของทาตกำลังตรังสีอย่างทาตยูเรนียม
02:10ทาตเทรียมและโพแทเซียม
02:13ซึ่งเป็นสาเหตุของการเคลื่อนที่ของทวีบ
02:16ซึ่งสนามแม่เล็กโลกนั้น
02:19จะเกิดจากการไหล่ของโลหาล่อมเหลวร้อนในบริเวณแก่โลกชั้นนอก
02:23โดยอยู่รอบแก่โลกชั้นในที่เป็นลักษณะโลหาแข็ง
02:27ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจากแรงลอยตัวและแรงโครีโอลิส
02:31ซึ่งเรียกกระโบนการนี้ว่ากระโบนการพลวัติของไหล่แม่เล็ก
02:35ซึ่งการไหล่เวียนดังกล่าวทำให้เกิดสนามไฟฟ้าและสนามแม่เล็ก
02:40โดยมันมีความคล้ายคลึงกับการทำงานของดายนามโอ
02:44ซึ่งเรียกว่าทรานีดายนามโอนั่นเอง
02:50และสนามแม่เล็กโลกก็เป็นประกดการทางธรรมชาติที่น่าสนใจมานานหลายพันปี
02:55เป็นประกดการที่ทำให้เกิดแรงได้โดยที่เราไม่ต้องออกแรงใดเพิ่มเติม
03:00จนกระทั่งเมื่อมนุษย์เราได้นำความสามารถของสนามแม่เล็กมาใช้ให้เกิดประโยชน์
03:05อย่างเช่นในประเทศจีนที่สามารถประดิษฐเข็มทิศขึ้นมาใช้ในการนำทางได้เป็นประเทศแรกของโลก
03:13อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่า
03:15ในทางภูมิสาทโลกของเรานั้นมีคั่วโลกเหนือและคั่วโลกตาย
03:20แต่ว่าคั่วแม่เล็กของโลกนั้นจะอยู่สลับกัน
03:24กล่าวคือที่บริเวณซีกโลกเหนือนั้นจะเป็นคั่วแม่เล็กตาย
03:28ที่บริเวณซีกโลกใต้นั้นจะเป็นคั่วแม่เล็กเหนือ
03:32โดยเส้นแรงแม่เล็กก็จะชิดจากคั่วแม่เล็กเหนือไปอย่างคั่วแม่เล็กตายเหมือนกับแม่เล็กทั่วๆไป
03:38นอกจากนี้คั่วโลกทางภูมิสาทก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับคั่วแม่เล็ก
03:43เพราะคั่วแม่เล็กโลกนั้นอยู่ห่างจากคั่วโลกทางภูมิสาท
03:47ที่เป็นแกนหมุนของโลกนั้นประมาณ 10-12 องสา
03:51หรือประมาณ 1,300-1,400 กิโลเมตรนั่นเอง
03:56และนับตั้งแต่การค้นพบครั้งแรกคั่วแม่เล็กได้เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือโดยเฉลี่ย 40 กิโลเมตรต่อปี
04:03แต่แล้วกระบวนการนี้ก็เร่งความเร็วขึ้นมา
04:07โดยตลอดสัตวัติที่ 20 คั่วโลกเหนือมีการเคลื่อนตัวไปมากกว่า 1,000 กิโลเมตร
04:12และในช่วง 40 ปีที่ผ่านมานั้น ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันเพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่าเลยทีเดียว
04:21และในปี 2019 เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาคำตอบดังกล่าว
04:28โดยได้ทำการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ของการเคลื่อนที่ของคั่วแม่เล็ก
04:32และได้ข้อสรุปที่ว่า
04:34สาเหตุข้างต้นนั้นอาจเกิดจากวอม hydromagnetic wave หรือพื้นแม่เล็กไฟฟ้าที่อุ่นนั้น
04:40ได้พึ่งขึ้นสู่พื้นผิวจากแกนกลางด้านนอกและขยายตัวภายในนั้น
04:45ซึ่งมันคล้ายคลึงกับการสะท้อนเสียงของวัตถุ
04:49เมื่อวัตถุชิ้นนั้นกำลังหมุนสั่นตัวมันนั่นเอง
04:52แต่คำตอบนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
04:57เนื่องจากนักวิจัยใช้เฉพาะข้อมูลการเคลื่อนที่ของคั่วโลกเท่านั้น
05:06นับตั้งแต่ทอสวัสปี 1970
05:09การศึกษาเกี่ยวกับสนามแบล็คโลกก็เป็นที่ถบเถียงกันอย่างกว้างขวาง
05:14ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางท่านได้ตั้งข้อสงสัยว่า
05:19แก่นกลางของโลกนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสนามแบล็คหรือไม่
05:25แต่มีบทความที่น่าสนใจ
05:27ซึ่งจัดทำโดยศาสตราจารย์เกรกอรีริสกิน
05:31จากมหาวิเทียร์ไลนอทเวสเตอร์นในสหารัส
05:34โดยท่านให้รายละเอียดไว้ว่า
05:37สนามแบล็คของโลกเรานั้นถูกสร้างขึ้นโดยการหลายเวียนของมหาสมุติ
05:41ซึ่งได้ให้เหตุผลที่ว่า
05:43น้ำเค็มนั้นมีความสามารถในการนำไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม
05:47และกระแสน้ำมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
05:51หากเป็นเช่นนั้นการเปลี่ยนแผลของกระแสน้ำในมหาสมุติแอดแลนติกเหนือ
05:55อาจมีความเชื่องยงกับการกระตุกของความแม่เลกรมก็เป็นได้
05:59จนถึงปัจจุบันนี้ชุมชนวิทยาศาสตร์
06:03ต้นถึงปัจจุบันนี้ชุมชนวิธียศาสตร์
06:06ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับธรรมชาติและพฤติกรรมของสนามแม้หล่ก
06:11แต่นักวิธียสารปางท่านก็พยายามหาข้อมูลที่ว่า
06:15สนามแม้หล่กโลกมีการเกลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดหายนะในอดิตได้
06:33พวกเขาได้ทำการวิคร้องประกอบของเม็ดดินในแผ่นจารึกดินนิวของยุคเมสโอปโปเตรเมีย
06:38และสิ่งที่ได้นั้นก็คือเม็ดดินเหล่านี้มีอนุภาคของเหล็กที่ซ่อนตัวอยู่
06:43โดยมันมีคุณสมบัติเป็นเหมือนแม่เหล็ก
06:46ซึ่งนี่อาจบอกเป็นในว่า เมื่อ 3,000 ปีก่อนนั้น
06:50สนามแม่เหล็กของโลกอาจมีความเข้มข้นเกือบ 3 เท่าของปัจจุบัน
06:56ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
06:58มีสิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษามันอย่างใกล้ชิบ
07:03นั่นก็คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ภายุสุริยะ
07:07และเหล่านักวิทยาศาสตร์นั้นก็ได้คาดคะเนวไว้ว่า
07:11จุดสูงสุดของภายุสุริยะอาจเกิดขึ้นในปี 2025
07:16หากเปลี่ยวไฟอันสงพลังนี้กระทบมาอย่างอนาคตของโลกเรา
07:20อนุภาคประจุบไฟฟ้าที่พุ่งออกมาในจำนวนมหาสานนั้น
07:26จะทำให้เกิดการรบกวนระบบการสื่อสาร
07:29และจะส่งผลทำให้การสื่อสารโทรธรรมณาคมเป็นอำมาพาส
07:33หรือแม้กระทั่งระบบอากาศสยานนั้นล้มเหลว
07:37ร่วมไปถึงดาวเทียมนอกโลกก็อาจได้รับความเสียหายอีกด้วย
07:43และนอกจากนี้เหล่านักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลิววาพูน
07:47ก็ได้ทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของวัตถจักร์ในสนามแม่เหล็ก
07:52ซึ่งได้ใช้การไหลของลาวาโบราณนับล้านปี
07:55ที่ไหลผ่านสแกรทมอร์และคิงฮอร์นทางตวนออกของสก๊อตแลน
08:00ผลประกดว่าเมื่อประมาณ 120 ล้านปีก่อนนั้น
08:04ความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกมีค่าน้อยกว่า 1 ใน 4 ของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
08:10เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อช่วงนี้ว่า มิทพาลาโซอิกไดโพโล
08:14และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวงจอนที่กินเวลากว่า 200 ล้านปีเท่านั้น
08:20การศึกษาข้างต้นนี้ทำให้เราทราบว่า
08:24สนามแม่เหล็กของโลกนั้นจะมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา
08:28จากที่อาจมีค่าอ่อนมากไปจนถึงรุ่นแรงอย่างผิดปกติ
08:32ซึ่งอาจเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงยุคเมสโอปโปเตยเมีย
08:36แต่ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตจากความผันผวนที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น
08:41ยังไม่มีการศึกษามากเท่าที่ควร
08:44และนักวิธยาสาทบางท่านเชื่อว่า
08:46การสูญพันครั้งใหญ่บริเวณขอบเขตระหว่างยุคดีโวเนียนและยุคคาบานิเฟอร์รัส
08:51ที่อยู่ในช่วงเมื่อ 359 ล้านปีก่อนนั้น
08:55เกิดขึ้นเนื่องจากระดับรังสีอันตราไวโอเลทของดวงอาทิตย์ที่เพิ่มมากขึ้น
09:00ซึ่งสอดคล้องกับค่าที่อ่านได้น้อยที่สุดของสนามแม่เหล็กในขณะนั้น
09:04นั่นหมายความว่าเมื่อสนามแม่เหล็กโลกในช่วงเวลานั้นลดลง
09:09เป็นผลกระทบทำให้ความสามารถของชั้นโอโซลลดลงด้วย
09:14และยังไม่สามารถที่จะป้องกันอันตรายจากลมสุริยะและรังสีคอสมิค
09:19ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้เลย
09:24และในช่วง 3,000 ปีที่ผ่านมานั้นสนามแม่เหล็กของโลกได้สูญเสียความเข้มไปมากกว่า 100 ละ 30
09:31ซึ่งถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกอ่อนตัวลงประมาณ 100 ละ 90 นั้น
09:36ถึงจะทำให้เกิดประกดการที่เรียกว่าการผลิกกลับด้านของคั่วโลก
09:40ซึ่งประกดการนี้ก็ขึ้นอยู่กับความผันผวนของสนามแม่เหล็กโลกเช่นกัน
09:46และความผิดปกติที่เกิดขึ้นในบริเวณมหาสมุดแอทแลนติกใต้
09:51ซึ่งบริเวณนี้มีสนามแม่เหล็กของโลกที่ต่ำกว่าผู้มีภาคอื่นอย่างน้อยถึง 3 เท่า
09:57และเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงไม่รู้ว่า
10:00อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้มันอ่อนแอลง
10:03สิ่งเดียวที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถระบุได้อย่างแน่นอน
10:07ก็คือความผิดปกตินี้ยังคงทะวีความรุนแรงและแพ้กระจายต่อไป
10:12และแหนวนมการอ่อนตัวนี้ก็ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
10:20การแบ่งแยกทะวีบในสมัยโบราณนั้น
10:23มีพื้นฐานมาจากแผนที่ของนักเดินเรือที่เดินทางในทะเล
10:28ซึ่งผู้คนเหล่านั้นจะพันนานาทุกสิ่งให้แม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้
10:33เนื่องจากจะช่วยให้การเดินเรือไปสู่เป้าไหม้ได้ฉัดเจอนร์CapE
10:39และหนึ่งที่แผนที่เดินเหรือที่เก่าแก่ที่สุดนั้นก็ถูกเขียนขึ้นด้วยนักเดินเรือเชาะตมัน
10:46โดยแผ่นที่นี้มีชื่อแหวนที่ปีรีรีส
10:48ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นในปี 1513
10:50ปี 1513 และแผนที่นี้แสดงให้เห็นทวิฟอันตรักติกานั้นได้มีดินแดนส่วนหนึ่งของทวิฟ
10:58ที่มีการเชื่อมต่อกับทวิฟอเมริกาใต้อย่างน่าเหลือเชื่อ
11:02และเหตุผลประการใดที่สามารถแบ่งแยกสองทวิฟนี้ออกจากกัน
11:07จากนั้นต่อมาในปี 1685 ก็ประกดแผนที่อีกชะบับขึ้นมา
11:13แผนที่นี้องกระกอบด้วยรวมจะสำพันกับแผนที่ปีรีรีส
11:18แต่บริเวณทวิฟอันตรักติกานั้นมีขนาดที่เล็กมาก
11:22ในกรณีนี้นักทำแผนที่ส่วนใหญ่นั้นให้ความคิดเห็น ไปในทางเดียวกันว่า
11:27ดินแดนบางส่วนที่ได้เปลี่ยนปลังไปนั้น
11:43พยพยุติทางน้ำขนาดใหญ่ สามารถเปลี่ยนเส้นทางของกระแสน้ำได้จริงหรือ?
11:51นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนก็มองว่า พื้นที่ส่วนใหญ่บนโลกของเรานั้น ตกออนคือพื้นดินเดียวกัน
11:59แต่เกิดพยพยุติทางน้ำจึงทำให้บางส่วนได้จมอยู่ใต้น้ำ
12:04อย่างเช่นนักธรรมนีวิทยาชาวอเมริกัน นำว่า เจ ฮาเลน เบร็ด
12:08ได้อธิบายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของที่ราบสูงโคลัมเบีย โดยมีรายละเอียดที่ว่าการกัดซ้อยอย่างช้า ๆ เป็นประจำนั้น
12:17มันไม่สามารถเป็นสาเหตุเบื้องหลังผู้มีประเทศที่ผิดปกติดังกล่าวได้
12:22มีเพียงน้ำท่วมโลกเท่านั้นที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
12:27อย่างไรก็ตามสมาคมธรรมนีวิทยาก็รีบปฏิเสธธริสดีของเบร็ดทันทีโดยให้เหตุผลว่า
12:34ธริสดีนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือและเป็นไปได้ยากยิ่ง
12:38และในทางคริสเตียนก็เริ่มคมเห็นสิ่งที่เบร็ดบรรยาย
12:42ด้วยกล่าวหาว่าเบร็ดเป็นพวกนกรีดและดูมีนศาสนา
12:46ซึ่งเหล่านักบวชส่วนใหญ่นั้นคิดว่าน้ำท่วมใหญ่ในพระคำพีมันคือการลงโทษคนบาปจากพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
12:55และจนกระทั่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกได้พัฒนามากยิ่งขึ้น
13:01ก็ทำให้เกิดการสร้างแผนที่แดวเทียมชุดแรก
13:04บนพื้นที่กว้างที่ผิดปกติของที่ราบสูงโคลัมเบีย
13:08และภูมิทัศต์ต่างๆก็ได้ประกดภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
13:13ภาพถ่ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะช่วยยืนยันภริษฐีของชายที่ชื่อว่าเจฮาเลนเบร็ดนั้นถูกต้อง
13:20และต่อมาในปี 1979 เมื่อเบร็ดอายุ 97 ปี
13:26สมาคมธรรณีวิทยาแห่งอเมริกาก็ยอมรับธริษฐีของนักวิชาการรายนี้อย่างเป็นทางการ
13:33และถึงกับมอบรางวัลสูงสุดให้กับเขาด้วยเรียนเพนโรซอีกด้วย
13:38หรือนี่เป็นเทียงแค่รางวัลปลอบใจเขาเท่านั้นเอง
13:44และย้อนไปในปี 1963 ชานโทมัสเจ้านะที CIA ที่เกษียณอายุแล้ว
13:49ได้ตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อว่า อดามกับเอวา
13:53ซึ่งในนั้นได้ตีความหนังสือประถมการซึ่งเอวาเป็นตำนานก่อนพระคำพี่ไบเบิ้ลหลายเรื่อง
13:59อีกทั้งยังมีการอธิบายถึงประกทการทางธรรณีวิทยาที่เกิดขึ้นในประวัติศาสท์
14:05โลกเรานั้นต้องประเชิญกับเหตุการหายนะเป็นประจำทุกๆ 7,000 ปี
14:11และโทมัสยังเชื่อว่าวันสิ้นโลกที่แท้จริงกำลังรอเราอยู่
14:17โดยมันจะเริ่มต้นด้วยแผ่นบินไหวและภูเขาไฟระเบิด
14:21ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก
14:24แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดนั้นก็คือเกิดการเคลื่อนตัวของเคลื่อนเปลือกโลก
14:29ซึ่งอาจสูงถึง 2 หรือ 3 กิโลเมตรเลยทีเดียว
14:33โดยสิ่งนี้จะลอยขึ้นมาจากมหาสมุตร
14:36สิ่งเหล่านี้จะสามารถทำลายล้างไม่เพียงแต่เมืองบริเวณชายฝั่งเท่านั้น
14:41แต่จะครอบคลุมพื้นผิวดินและทะวิบทุกทะวิบจะเจอสิ่งนี้
14:46ซึ่งหายนะที่ถูกกล่าวหาทั้งหมดนี้
14:49โอด�วมาร์เม.ฟิลส decisions
14:50ฟอมามสี ก็มั่นใจว่าสิ่งกระตุ้นหลักหน้าจะเป็นการเปลี่ยนควรของลอกเรา
14:54จะเป็นเดrost เฮี้ย เค Gene
14:55แม้โลกจะไม่ใช่แม้เลกแต่มันอาจเกิดขึ้นทางกายภาพ
14:58การตลบจัดการมั้น
14:59นั่นคือเคลื่อนร συโลดึงโลกของเรานั้น
15:01มีการเลื่อนไปบนเนื้อโลกที่หล่อมละลายจนคั่วโลกเหนือได้กลายเป็นคั่วโลกใต้นั่นเอง
15:07ซึ่งสิ่งที่จะยืนยันแหนวคิดนี้ก็คือในปี 1953
15:12ศาสตราจารย์เช่าอเมริกันเช่าฮัทชินแฮปกูด
15:16ได้ติดพิมพ์บทความที่กล่าวหาว่าเปลือกโลกเรานั้นเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา
15:21เนื่องจากสนามแม่เหล็กของโลกมีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราว
15:26หรือคั่วทางกายภาพมีการเคลื่อนที่ไปหลายกิโลเมตร
15:30และจากข้อมูลของฮัทชินแฮปกูดการผกผันโดยสมบูรณ์ก็อาจเกิดขึ้นได้
15:35นั่นหมายความว่าคั่วโลกเหนืออาจกลายเป็นคั่วโลกใต้อย่างที่โทมัสได้อธิบายไว้นั่นเอง
15:42และนักวิทยาศาตรรย์บ้างท้านได้ให้ความคิดเห็นที่ว่า
15:46การผกผันเหล่านี้มีส่วนต่อความผิดปกติธรรมภูมิศาตร์ที่ไม่สามารถอธิบายได้
15:52แหละแม้กระทั่งหายนะทั่วโลกในครั้งอดีตที่ทำลายอรัยธรรมโบราณต่างทนให้ล้มสลายไป
15:58ในขณะที่ผู้คนที่รอดชีวิตมาได้นั้นก็ต้องสร้างสังคมขึ้นมาใหม่
16:06และในปี 2007 บนข้าวสมุดยามานของราเซีย
16:10เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าก็ได้พบฟอซิลลูกช้างแมมมอร์ส
16:14ลูกแมมมอร์สตัวนี้แตกต่างอย่างมากจากแมมมอร์สทั่วไปเนื่องจักษะของมันนั้น
16:19ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์
16:23แต่สิ่งที่ทำให้เหล่านักวิทยาศาติต้องปรลาใจนั้น
16:27ก็คือเมื่อได้ทำการผ่าพิสูจน์ก็พบสร้างผืดที่ไม่ได้ย่อยสลาย
16:31รวมถึง ดอกไม้เมืองร้อนบางชนิดในท้องของมัน
16:35แต่ผืดแปลกใหม่เหล่านี้มาอยู่ในไซเบอรีเอeniz์อันหนาวเย็นนี้ได้อย่างไร
16:40นักวิทยาศาติบางคนสันนิษฐาญว่า
16:44สาเหตุที่สร้างแมมมออส ในรักเสียนนี้ ได้รับการอนุระคอยอย่างดี
16:49เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงอุนอภูมิอย่างกระทั่นหันในภูมิภาคนี้
16:54จนร่างของสรัฐที่ตายแล้วไม่มีเวลาที่จะย้อยสลายตัว
16:57ซึ่งนี้อาจหมายความว่าในตอนแรกเหล่าแมมมอสก็อาจเคยอาศัยอยู่ในป่าและกินผลไม้เมืองร้อน ก่อนที่พวกมันจะเสียชีวิตกระทั่งหันด้วยภาวะอุณภูมิต่ำกว่าปกติ
17:09และที่มันเป็นเช่นนี้อาจเกิดจากโลกดึงตำแหน่งกลับหัวนั่นเอง
17:15ย้อนกลับไปในปี 1899 มีนักวิชาการชาวราชเซียนามว่าวาซิลีโดคูแชฟ
17:24ได้ทำการศึกษาดินในบริเวณซิกโลกเหนือ
17:28การวิเคราะห์ครั้งนี้บงชี้ว่าดินชั้นล่างในกรีนแลนด์นั้น
17:32เมื่อหลายพันปีก่อนได้รับแสงแดดที่น้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก
17:37กล่าวอีกหนήหนึ่งก็คือกรีนแลนด์ในอดิตอาจอยู่ทางเหนือสุดของโลกเราก็เป็นได้
17:42และถ้าเป็นเช่นนั้น การวิจัยครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่ยืนยันว่ามันมีการเปลี่ยนโควร์ของโลกเราจริง
17:49บางทีก็อาจเป็นไปได้ที่พืชเมืองร้อนจะสามารถเติบโตในไซบิเรียได้นั่นเอง
17:55โบคุม Game of Thrones
18:02ในปี 1985 วราดีนีจอรินี แบรกคอฟ ซึ่งเป็นนักบินอาวากาศชาวโซเวียตนั้น
18:08เค้าให้สนใจกับความผิดประกิดที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
18:12ก็คือการถอดน๊อตออกจากสายเคเบิร์นในอาวกาศ
18:16วันนั้นนักบินอวกาศทำการถอดน๊อตแล้วจับน๊อตที่ลอยอยู่อย่างช้าๆ แต่วันนั้นเบ็คคอฟไม่สามารถจับน๊อตตัวนี้ได้
18:25เมื่อน๊อตหางปลาเคลื่อนที่ไปได้ในระยะหนึ่งแล้วจู๊ๆก็หมุนรอบแกนของมัน
18:30จากนั้นมันยังหมุนอยู่แต่ก็ลองลอยไปตามวิธีของมันต่อไปอีกระยะหนึ่ง
18:36จนกระทั่งมันกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมและหยุดเคลื่อนไหว
18:40เบ็คคอฟแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่ได้เห็นสิ่งนี้
18:44จากนั้นนักบินอวกาศก็ปล่อยวัตถูกอื่นๆในธรรมนองเดียวกัน
18:49และพวกเขาก็ทำแบบนั้นซ้ำๆและผลลับที่ได้นั้นก็เป็นเช่นเดิม
18:55เหล่านักวิทยาสารก็เริ่มทำการวิจัยประกดการลึกลับนี้
18:59และได้ข่อสรุปที่ว่าการหมุนด้วยแรงนมถ่วงเป็น 0 นั้น
19:04สิ่งต่างๆที่ไม่สมบัติเล็กน้อยอาจผลิกกลับได้หลังจากผ่านไปช่วงรายะเวลา 1
19:09โดยจะทำการหมุนประมาณ 180 องศาพอดี
19:13โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการผลิกกลับแล้วพวกมันก็จะหมุนไปในที่ทางเดียวกัน
19:19ปรากฏการณ์นี้อาจบงชีได้ว่ามันมีการแลกเปลี่ยนโค้กันนั่นเอง
19:24และหากวันหนึ่งโลกของเราไม่ใช่สงกรมทางรายขาคนิดที่สมบูรณ์แบบ
19:29และมีมวลที่กระจายอยู่ไม่เท่ากันนั้น
19:33ปรากฏการณ์ทางต้นนี้จะเกิดขึ้นกับโลกเราได้หรือไม่?
19:48กล่าวกันว่าโลกของเรานั้นมีอายุประมาณ 4,500 ล้านปีมาแล้ว
19:53และเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเดียว ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
19:58อีกทั้งโลกได้มีการเปลี่ยนเป้ลงสภาพผู้มีอากาศนับครั้งไม่ทวน
20:03ตราบจนมีการเปลี่ยนเปลี่ยนผลงานขนาดและจนปัจจุบันนี้ถึงว่าคงที่ที่สุดแล้ว
20:08ไม่ว่าโลกจะถูกพุ่งชนจัก ดาวก็ขนาดยักษ์
20:11ที่ทำให้เหล่าไดโนเสาและสิ่งมีชีวิตในยุคนั้นต้องสูญพันไป
20:16แต่โลกก็ยังคงดำรงหูและยังกลับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทุกสภาพอากาศ
20:27แต่วัตตจักรของความผันผวนของอุณภูมิเฉลียดทั่วโลก
20:31ที่ผันผวนมากที่สุดนั้น
20:33จะเกิดขึ้นประมาณทุกๆ 100,000 ปี
20:36โดยหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดพบในช่องว่างระหว่างชั้นน้ำแข็งของท่านน้ำแข็ง
20:41และยังกล่าวอีกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็มุนตามรอบวัตตจักร
20:46โดยมีวัตตจักรที่แตกต่างกันหลายร้อยประเภทในโลกและในจักรวาล
20:51ซึ่งบางอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
20:54อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงของรุดุการ
20:57หรือการอบพยกของสัตว์ในตลาดปี
21:00บางอย่างก็เกิดขึ้นกับมนุษย์เช่นจังหวะการเต้นของหัวใจ
21:04ที่มาในรูปแบบการนอนหลับพักผ่อน
21:07การปลูกและเก็บเกี่ยวพืชผล
21:10จังหวะดนตรีหรือวงจรเศษธกิจเป็นต้น
21:13และในช่วงต้นศัตวรรษที่ 19
21:17ก็มีวัตจักษ์อย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นมา
21:21ซึ่งมาจากผลงานของมิลูติน มิลานโควิด นักคณิตศาสตร์ชาวเซอร์เบีย
21:26โดยเขาเชื่อมั่นว่าวัตจักษ์ของทานน้ำแข็ง
21:29ในช่วงตลอดหลายล้านปีที่ผ่านมานั้น
21:32มันคือสิ่งที่จะสามารถอธิบายวัตจักษ์
21:35สภาพอากาศของโลกที่ดำเนินอยู่นะตอนนี้ได้
21:39ซึ่งเขาได้อธิบายถึงปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทานน้ำแข็งไว้ 3 ประการ
21:45ประการแรกก็คือวงโพจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
21:49ซึ่งได้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดความรีของโลก
21:53ว่ามีวงรีมากหรือวงรีน้อยอย่างไร
21:57ซึ่งในวงรอบ 96,000 ปีนั้น
22:01เมื่อโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์อุณภูมิก็จะสูงขึ้น
22:05แต่เมื่อโลกอยู่ใกล้ออกไปอุณภูมิก็จะต่ำลง
22:09ซึ่งปัจจุบันนี้โลกโพจรเกิดเป็นวงกลมด้วยความเยื้องสูญกลางประมาณ 0.0167
22:15อย่างไรก็ตามความเยื้องสูญของวงโพจรของโลกสามารถแปลผันได้ถึงค่า 0.058
22:21นอกจากนี้ความเยื้องสูญกลางของวงโพจรยังทำให้เกิดความแปลผันของจำนวนพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดที่โลกได้รับตลอดทั้งปีอีกด้วย
22:31และเนื่องจากอันตกิริยาแรงนมถวงของโลกกับดาวเคราะห์ดวงอื่นนั้น
22:35มันทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างจุดใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดกับจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
22:41ซึ่งอาจสามารถขยายออกไปได้ใกล้ถึง 17 ล้านกิโลเมตรเลยทีเดียว
22:47ปัจจัยต่อมาก็คือการหมุนของโลกนั้นสายเป็นวงคล้ายลูกขาง
22:51โดยมันเกิดขึ้นในรอบละ 21,000 ปี
22:55สิ่งนี้ทำให้ในช่วงเวลาเดียวกันของตลาดปีของตลาดพื้นที่บนโลกเรานั้น
23:01ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่ไม่เท่ากัน
23:05และประการไทยสุดก็คือแกนโลกเอียง
23:09ซึ่งแกนของโลกเรานั้นในตอนนี้เอียงทำมุมระหว่าง 21.5 องสาถึง 24.5 องสา
23:15กับระหนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
23:19และเปลี่ยนมุมทุกทุกรอบละ 41,000 ปี
23:23ในปัจจุบันนี้แกนของโลกเรานั้นเอียงทำมุมอยู่ที่ 23.5 องสา
23:27ซึ่งหากแกนของโลกเอียงมากขึ้นก็จะทำให้โคจรโลกได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้นในฤดูร้อน
23:33และน้อยลงในฤดูหนาว
23:37โดยมีผลทำให้ฤดูร้อนและฤดูหนาวนั้นมีอุณภูมิแตกต่างกันมากขึ้น
23:41และหากโลกได้รับแสงจากดวงอาทิตย์น้อยลงเพียง 1%
23:47ปุ่นภูมิของโลกจะลดลงจนเกิดน้ำแข็งปกครุ่มไปทั่วโลกนั่นเอง
23:53และวัตตจักรข้างต้นนี้แสดงให้เห็นผู้มีอากาศในช่วงนับพันปีที่ผ่านมา
23:59ว่าโลกของเราในอดีตมีการเปลี่ยนแปลงผู้มีอากาศเกิดขึ้น
24:03หากไม่เป็นเช่นนั้นในช่วงหลายท้อสวัสที่ผ่านมา
24:07สมุติฐานพื้นฐานประการหนึ่งที่ว่าสภาพวะโลกร้อน ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์จะภังถลายลงทันที
24:14และวัตตจักรนิลานโควิดอาจบงบอกเราว่า
24:17การเปลี่ยนแปลงต่างๆของศาภาวะอากาศของโลกนั้น
24:21จะประสานกันในลักษณะ ที่มีพลังงานแสงอาทิตย์กระจุบตัวอยู่ในซีกโลกเหนือนี้ช่วงรดุร้อน
24:28ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศอบอุ่น โดยเรียกว่าช่วงระหว่างน้ำแข็งอาจเกิดขึ้นได้
24:33และในช่วงเวลานี้ทานน้ำแข็งจะถอยกลับในขณะที่ระดับน้ำทะเล จะสูงขึ้น
24:39ซึ่งนี่ทางกลับกันเมื่อความปราผัญส่งผลให้พลังงานจากแสงอาทิตย์ลดลงในพื้นที่ที่กว้ารวบเนืานะ
24:45อาจทำให้ยุคน้ำแข็งกลับมาอีกครั้ง
24:49ดอยมีลักษณะเป็นน้ำแขงปบครุ่มเป็นวงกว้างและระดับน้ำทะเลก็ลดลง
24:57ห้อมมั่วไม่เหci0 สิ่งที่เราตั้งสมมุติทานข้างตั้งนี้อาจอยู่ในช่วงยุคน้ำแขงในอดีต
25:02อาจเป็นยุคที่ไม่เอออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรา
25:07สะเหตุอาจเนื้อมาจากผล่านน้ำแข็งที่หนาได้แผ่งขยายไปทั่วซีกลกเป็นส่วนใหญ่
25:12ซึ่งได้ครบคุมพื้นที่ของทะวิป อเมริกาเหนือ และทะวิป ยูโรวก
25:17ตลอดจนบางส่วนของทะวิป เอเชีย และทะวิป อเมริกาใต้
25:21ด้วยปริมาณน้ำ ที่สะสมอยู่ในทานน้ำแข็ง
25:25เมื่อมีทะเลที่เพิ่มมากคืนระดับน้ำ ก็ลดลงอย่างมาก
25:29สึ่งประมาณกันว่า ในช่วงยุคน้ำแข้งครั้งสุดท้ายนะ รดับน้ำทะเลเฉลียหลดลงประมาณ 120 เมส
25:36ทำให้ทะเลบอลติกนั้นกลายเป็นทะเลสาบ
25:39หรือทำให้สหรัชอนาจักร ทำเป็นคาบสมุติที่มีมามใหมอนส์ และแลตที่มีคนขนาดใหญ่อาศัยอยู่
25:47ในทางกลับกันในช่วงระหว่างน้ำแคะง ช่วงปัจจุบันนี้ จะมีสภาพอากาศค่อนข้าง少นที่จะอบอุ่นขึ่นมาก
25:53ประเทศในยูรกเนื้อส่วนใหญ่อาจปลดปล่อยตัวเองจากระดับน้ำแข็งและน้ำทะเลที่สูงขึ้น
26:02ความเค้มข้นระหว่างวัตตะจักร์มิลานโควิดและสภาพอากาศของโลกนั้น
26:07ได้แสดงให้เห็นผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลผู้มีอากาศและหลักฐานทางทรรนีวิทยา
26:12ตัวอย่างเช่นชั้นน้ำแข็งรืดตะกรในทะเล
26:16และแม้กระทั่งตกรของคาบอนเนทในธรรม
26:22มีข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพผู้มีอากาศในช่วงนับพันปี
26:26ซึ่งสามารถเทียบได้กับวัตตจักรทางดาราศาส
26:29ด้วยเหตุนี้ในช่วง 2 ทดสวรรค์ที่ผ่านมา
26:33ธริษฐีของมิลานโควิดจึงกลายเป็นประการขั้นสูงสุดในการต่อต้านวิทยานนิพลเรื่องภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์
26:40แต่เราก็ต้องยอมรับว่าธริษฐีวัตตจักรของนักธนิกษาชาวเซอร์เบียนนั้น
26:45สามารถอธิบายได้เฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางผู้มีอากาศในระยะยาว
26:50ที่เกิดจากทานน้ำแข็งขนาดใหญ่สลับกับช่วงระยะเวลาหลายพันปีได้เท่านั้น
26:55ดังนั้นผู้เสนอการเปลี่ยนแปลงสภาพผู้มีอากาศที่เกิดจากมนุษย์นั้น
27:00จึงถูกยอมรับจากเหล่านักวิทยาศาสตร์และผู้คนเป็นอย่างมาก
27:05นักวิจัยบางคนได้อ้างว่า
27:08การเปลียนแปลงสภาพผู้มีอากาศที่อาจเกิดขึ้นได้นัก
27:12อาจเกิดขึ้นในช่วงยุคกลางหรือม้ายแต่มนุษย์ยุคหินใหม่ก็เป็นได้
27:20และเมื่อย้อนกลับไปพิชจรานาทฤษเท่าเอลที่อยู่ในทวิฟเยอรเวิร์พ
27:25กล่าวกันว่าเมื่อ 10,000 ปีที่แล้วนั้น เทือกเขาเอลยังคงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและอยู่ท่ามกลางความเหนาเย็น
27:32แต่ไม่กี่สัตวัตรต่อมามีชาวบ้านยุคหินใหม่ได้อาศัยอยู่ที่ระดับความสูง 3,200 เมตร
27:38สิ่งที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญก็คือการพบมัมมี่เพชรชาย
27:43ซึ่งมีอายุเรา 5,000 ปีถูกค้นพบบนทานน้ำแข็งที่ชายแดนออตเตรียกับอิตาลีในปี 1991
27:50สิ่งนี้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าช่วงที่อากาศอุ่นขึ้นอย่างกระทั่นหันนั้น
27:56ได้กำจัดหิมะที่ระดับความสูงเหล่านั้นออกไปแล้ว
28:00ซึ่งนี้อาจหมายความว่าเกิดการละลายครั้งใหญ่ในบริเวณนี้
28:05ทำให้ผู้คนสามารถเคลื่อนย้ายถิ่นฐานได้อย่างอิสระ
28:09นั่นคือสามารถเดินทางจากออตเตรียไปอย่างอิตาลีที่ระดับความสูงที่สูงมากขึ้นก็ว่าได้
28:15ซึ่งนี้หมายความว่ามันอาจมีการละลายของทานน้ำแข็งได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน
28:22และยิ่งไปกว่านั้นมันเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นมาก
28:26ดังนั้นสภาวะโลกร้อนมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์นั้นกระทำ แต่เพียงผู้เดียว
28:32อย่างไรก็ตามมีข้อมูลการสิกษะ��วกับความสัมผัสระหว่างดวงอา 확실히ดวงอาทิตย์และระบบสุริยะ
28:38ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสิ้นสุดของวัตตจักษุริยะกับหนึ่งในปรากฏการทางอุตุนิยมวิทยา
28:45ที่เกิดขึ้นเป็นระยะบนโลกของเรา
28:48นั่นคือปรากฏการ El Niño และ La Niña
28:52สองปรากฏการนี้อาจสามารถบงบอกว่ายุคน้ำแข็งใกล้จะมาเยือนเรา
28:58ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจว่าปรากฏการข้างตนนี้มาได้อย่างไร
29:03ในมหาสมุติ Pacific หรือมหาสมุติที่กั้นระหว่างทะวิบ Asia และทะวิบอเมริกานั้น
29:09จะมีกระแสลมประจำภูมิพากที่เรียกว่าลมสินค้า
29:13ซึ่งมันจะพัดมาจากด้านตะวันออกของมหาสมุติ Pacific
29:17ไปยังด้านตะวันตกของมหาสมุติ Pacific
29:20ลมนี้ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลจากอเมริกาใต้มาอย่างประเทศอินโดนีเซีย
29:26และจะเกิดฝนตกในภูมิพาก Asia ตะวันออกเชียงใต้
29:30แต่ถ้าว่าปรากฏการ El Niño และ La Niña นั้น
29:34จะทำให้กระแสลมและกระแสน้ำอุ่นที่ลมพัดมานั้น
29:38เกิดความแปรบรวนและเกิดภาวะแห้งแรงก็คือ El Niño
29:42และเกิดฝนตกหนักก็คือ La Niña นั่นเอง
29:46El Niño และ La Niña เมื่อรวมกันแล้วจะเป็นส่วนหนึ่งของวัตถักธรรมชาติ
29:52ที่สามารถส่งผลกระทบอย่างมีในยะสำคัญต่อสภาพภูมิอากาศและมหาสมุติทั่วโลก
29:58ไม่ว่าจะเป็นการเกิดภายุการเกิดภายแล้งหรือไฟป่า
30:02และแม้กระทั่งมหาอุดทบกระภัย
30:04สิ่งเหล่านี้เป็นภายธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทั้งสัตว์ทะเลและมนุษย์เราเป็นอย่างมาก
30:11ผลกระทบต่อโลกจะอยู่ประมาณ 1-2 ปี
30:15และวงจรของสองประกฏการณ์นี้จะสลับกันทุก 3-7 ปี
30:20อีกทั้งความแปรบรวนของสองประกฏการณ์นี้อาจมีส่วนสำคัญที่จะทำให้โลกของเรากลับสู่ยุคน้ำแข็งก็เป็นได้
30:40และเมื่อเราย้อนกลับไปดูเรื่องราวมหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้วนั้น
30:46มันคือเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต
30:51หินอุกบาดขนาดยักษ์เดินทางมาจากนอกโลกพุ่งตรงเข้ามาทางตอนใต้ด้วยมุมที่แหลมคม
30:57มันพุ่งเข้าหาโลกด้วยความเร็ว 3 เท่าของกระสุนปืนใหญ่
31:01แรงกระแทกอันมหาศาล
31:04ที่มีพลังระเบิดมากกว่าระเบิดปรามานูถึง 10,000 ล้านลูก
31:08การระเบิดของมันนั้นได้กินเวลากว่า 20 นาที
31:12เสสากที่หล่อมละลายได้ตกลงมาและลุกไหม้ไปทั่วโลก
31:16มันทำให้โลกทั้งใบนั้นมีความร้อนที่ยิ่งกว่าเตาอบเลยทีเดียว
31:21จากนั้นตามมาด้วยเมกฝุ่นขนาดยักษ์ซึ่งได้ปกครุ่มไปทั่วโลก
31:26สิ่งนี้ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตต้องขาดแสงแดดนานถึง 15 ปี
31:31ภูมิทัศที่สวยงามก็ต้องกลับกลายเป็นน้ำแข็ง
31:35หลังจากนั้น 175 ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ 0,000 ไป
31:40แต่มีเพียงสัตว์ไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่โชคดีและเอาตัวรอดผ่านมันไปได้
31:48หนึ่งในนั้นคือสัตว์จำพวกจอระเขต
31:51จอรเคณั้นถือเป็น Sadhi อยู่บนสุดของหวงโสอาหาร
31:55เนื่องจากเป็นสัตว์ภูลากินเหมือที่มีรูปรางที่ใหญ่โต
32:00แล้เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำเป็นส่วนใหญ่
32:03และพวกมันก็ไม่ได้รับปาady เจ็บจากไปวิบัติครั้งนี้
32:07โดยอาหารของมันคือซากสัตว์ที่ถูกพัดพาไปตามแม่น้ำ สิ่งนี้ได้ช่วยให้มันมีชีวิตรอดและขยายสายพันออกไปจนถึงปัจจุบัน
32:18และนอกจากนี้บรรพบรุษสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของเรา ก็รอดชีวิตมาจากการทำสิ่งที่พวกมันทำได้ดีที่สุด
32:26พวกมันขุดโพรงใต้ดินและซ่อนตัวอยู่ในนั้น ซึ่งถือว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็ว่าได้
32:33เราจะเปรียบเทียบกับพวกมันได้อย่างไรหากเราต้องพาเชิญกับวันสิ้นโลกแบบเดียวกัน
32:39จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมีดาวเคราะห์กลับมาพุ่งชนอีกครั้ง และชนเข้าในที่เดิม
32:46มนุษย์จะมีชีวิตรอดหรือสูญพันไป เหมือนอย่างเช่นไดโนเซอร์หรือไม่
32:59กล่าวกันว่าในชั่วพลิปตาที่โลกถูกอุกบาทพุ่งชนนั้น
33:03ทะวิบอเมริกากลางและทางตอนใต้ของสหารัฐจะมอดไหม้เพราะการระเบิด
33:09ผู้คนเกือบร้อยล้านคนจะพินาศในไม่กี่วินาที
33:13เสียงของการกระแทกเทียงอย่างเดียวนั้นก็เพียงพอที่จะฆ่าชีวิตใครก็ตามที่ยืนอยู่ห่างออกไปในระยะ 1,500 กิโลเมตร
33:22ซึ่งในไม่กี่นาทีแผ่นดินไหวขนาด 9-11 ริกเตอร์
33:26ก็จะส่งแรงกระเพื้อมไปทั่วโลกและแรงกว่าครั้งใดๆในประวัติศาสตร์ที่ได้บันธึกไว้
33:32สิ่งนี้จะทำให้เกิดเคลื่อนสุนามิขนาดยักษ์ที่สูงกว่า 100 เมตร
33:36จะเข้ากับซ้อชายฝั่งและน้ำท่วมอัดลึกลงไปถึง 100 กิโลเมตร
33:41โดยมันมากพอที่จะทำให้ผู้คนมากกว่า 3,000 ล้านคนต้องจมน้ำตาย
33:46และซ้ากประหลักหักพังจนนมากนั้นจะตกลงสู่สหรัฐ
33:50ซึ่งส่งผลให้มีผู้ตกอยู่ในความเสี่ยงอีกนับร้อยล้านคน
33:55แผ่นดินที่สั่นไหวอย่างรุ่นแรง
33:58อีกทั้งยังมีคลื่นยักษ์ที่พร้อมทำลายอรรยธรรมทุกประเภท
34:02เสศซากที่ลุกเป็นไฟและตามมาด้วยฝนกรด
34:05ที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นเวลาหลายสิบปี
34:09หลังจากการพุ่งชนจะทำให้กิจกรรมกลางแจ้งใดๆก็ตามอัดถึงแก่ชีวิตได้
34:14แล้วเราจะหลบหลีกมันได้อย่างไร?
34:24สิ่งที่ทุกประเทศต้องเตรียมการก็คือหลุมหลบไภ
34:28สถานที่นี้มีนับล้านแห่งกระจายอยู่ทั่วโลก
34:32ซึ่งหลุมหลบไภต่างๆมักซ่อนอยู่ใต้ดินหรือในภูเขา
34:36โดยในเซวิสเซแลนด์เพียงประเทศเดียวก็มีจำนวนหลายร้อยแห่งแล้ว
34:41หรือจะเป็นเดริน กูยูที่อยู่ในตุรกี
34:44หรือแม้กระทั่งเนียวชาบัดในอิราน
34:46ซึ่งสามารถเป็นหลังหลบไภสำหรับคนนับล้านได้อย่างดีเยี่ยม
34:50นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เมืองและสถานีรถไฟใต้ดินของตลาดประเทศ ให้ผู้คนหลายพันล้านคนเข้าไปหลบไภอยู่ที่นั่น
35:00แต่แรงระเบิดที่รุนแรงที่สามารถทำลายโลกได้ขนาดนั้น สถานที่หลบไภข้างต้นทั้งหมดจะปลอดภัยจริงหรือ?
35:09ในความเป็นจริงแล้วหากจะให้สิ่งมีชีวิตอยู่รอดนั้น ไม่ใช่แค่สถานที่หลบไภได้เพียงชั่วคราว แต่มนุษย์เราต้องออกแบบสถานที่หลบไภนี้
35:19ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้เป็นระยะเวลาหลายเดือนหรือหลายสิบปี เราถึงจะรอดชีวิตและสร้างอรัยธรรมใหม่ได้
35:28และมีสถานที่หนึ่งในสหรัฐที่น่าสนใจ นั่นคือกลุ่มอาคารราเวนร็อคมาวเทนคอมเพล็กหรือที่รู้จักในชื่อไซซ์อา
35:38มันคือสถานที่ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งของกองทัพสหรัฐ ซึ่งมีลักษณะเป็นบังเกอร์ป้องกันนิวเคลียร์อยู่ในชั้นใต้ดิน
35:46โดยใกล้กับยอดเขาบลูหลิตรัฐเพนซินวาเนียที่บริเวณผู้เขาราเวนร็อค บางคนเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเพนตาก้อนใต้ดิน
35:55โดยมันคือสูนปฏิบัติการฉุกเชิงสำหรับกองทัพสหรัฐกองทัพเรือ กองทัพอากาศและนาวิกยโทธิน
36:03ในช่วงสงครามเย็นนั้น เพื่อความอยู่รอดจากการจมตีด้วยนิวเคลียร์
36:09สูนแห่งนี้จึงเป็นสูนบังเกอร์หลักสำหรับแผนการของรัฐบาลสหรัฐ
36:13และจุดประสงค์ที่แอบซ่อนของรัฐบาลสหรัฐในการสร้างสถานที่แห่งนี้
36:18อาจไว้เพื่อเป็นสถานที่หลบไภจากไภพิบัตินอกโลกก็เป็นได้
36:24และเชื่อกันว่าประเทศมหาอำนาจของโลกก็อาจมีบังเกอร์แบบสหรัฐนี้เผอร์เหตุการฉุกเฉิน
36:32และอาจจะมีการเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์แบบนี้ไว้ลวงหน้าแล้ว
36:39เมื่อเวลาผ่านไปภูมิอากาศเลย จะแปรบรวนอย่างมาก
36:41จะแปลปรวนอย่างมาก จากที่อุณภูมิที่ต่ำสุดในจุดเยือกแข็งไปสู่อุณภูมิที่ร้อนสุดขีด
36:47นอกจากนั้นยังมีกาสคาบอนเดยออกไซน์ส่วนเกินที่ถูกขับออกมาจากการระเบิดและลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
36:54เมกฝุ่นที่ปกคลุมบรรยากาศโลกนั้น เราเหมือนมันจะกลืนกินโลกเราทั้งใบ
37:00และจะทำให้พืชผลทั่วโลกเจอกับความล้มเหลว
37:04บางคนอาจมีการเตรียมเสบียงอาหารไว้บ้าง แต่ในที่สุดอาหารที่กะเก็บไว้ก็จะหมดไป
37:11และสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือแหล่งน้ำจืดจะถูกปลนเปลือนด้วยฝนผิด
37:15ความอดหยากจะกลายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่ง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตเป็นพันล้านคน
37:22ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันนี้
37:26นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะค้นพบดาวเคราะห์ที่มีแนววงโครจร
37:31ที่จะพุ่งตรงมาอย่างโลกของเราได้
37:34และเราควรดำเนินการอย่างไร
37:37เพื่อช่วยชีวิตผู้คนนับล้านจากการระเบิด
37:52การดำเนินการขั้นแรกของเรานั้น
37:55ก็คือการอบพอยพูกคนออกจากข้าวสมุฏยูคาทาและพื้นที่เดินรอบ
37:59ไปยังหลุมหลบไพที่สร้างขึ้นมา
38:03โดยเป็นสถานที่ทนต่ออกบาทและแผนดินไว attach
38:08fin ที่รุนแรงและต้องทนต่อความร้อนใต้พิพภพ ได้อย่างดีเยี่ยม
38:11พร้อมกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ไม่พึ่งแสงแดด ซึ่งต้องสามารถจ่ายไฟฟ้าได้จนกว่าแสงแดดจะกลับคืนมา
38:19กล่าวกันว่าโลกของเรานั้นมีอุโมงรถไฟใต้ดินทั่วโลกยาวกว่า 20,000 km
38:26สถานที่นี้สามารถแปลงเป็นเครื่องขายเมืองอุโมงขนาดใหญ่ได้
38:31โดยในทางธริษฐีสามารถรองรับผู้คนได้มากกว่า 1,000 ล้านคน
38:36อีกทั้งห้องใต้ดินแห่งนี้ต้องกักเก็บสัพพยากรธรรมชาติ
38:40พร้อมทั้งสามารถทำการพอปลุกคู่บคู่ไปกับการทำประสุสัตว์
38:44ในขอบเขตของสัพพยากรธรรมที่มีจำกัดอีกด้วย
38:49และสัพพยากรธรรมที่สำคัญที่สุดที่ต้องประหยัดนั้นก็คือน้ำ
38:53เพื่อรักษามันจากการปล่นเปลือนของฝนกรด
38:56ดังนั้นไซโลนับล้าลิกคือสิ่งที่จำเป็น
39:02ความอยู่รอดของมนุษยชาติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
39:06และจะเป็นอย่างไรถ้ารู้ว่ามันกำลังมา
39:09สิ่งที่เราเตรียมรับมือกับสิ่งที่เนื้อจินตนาการนี้จะสำเร็จได้หรือไม่?
39:23ในเดือนธันวาคมปี 2022
39:26ยานอวกาศดาศของนาซ่าได้พุ่งชนดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก
39:30ที่อยู่ห่างออกไป 11 ล้านกิโลเมตร
39:33ซึ่งดาวเคราะห์ดวงนี้มีแนววงโครจรที่พุ่งมาอย่างโลก
39:37และมันอาจสร้างหายะนะครั้งใหญ่ให้แก่เหล่ามนุษย์
39:41ซึ่งผลที่ได้นั้นคือความสำเร็จครั้งใหญ่
39:43ในการทำให้วงโครจรดาวเคราะห์น้อยช้าลง 32 นาที
39:48ดาวเคราะห์น้อยดวงเล็กที่นาซ่าจมตีนั้น
39:50มีขนาดเพียงเสสเซียวของขนาดดาวเคราะห์ที่ได้ฆ่าไดนโสวเท่านั้น
39:54การพุ่งชนครั้งนี้มีความเสี่ยงที่จะทำลายดาวเคราะห์น้อยให้เล็กลงและมีอันตรายเป็นอย่างมาก
40:03โชคดีที่นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์และทำสำเร็จ
40:08นอกจากนี้เทคโนโลยีในปัจจุบันยังสามารถที่จะทำแผ่นที่ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ที่มีทั้งหมดในระบบสุริยะได้
40:15หากดาวเคราะห์ที่จะพุ่งมาอย่างโลกไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะของเราแต่มาจากแรงอื่น
40:26สิ่งที่เราเตรียมไว้นั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่
40:30ไม่ว่าเราจะมีเวลาไม่กี่เดือนหรือหลายปีในการเตรียมป้องกัน
40:36พิบัติก็จะทำลายล้างพื้นดินและทิวทัศที่สวยงามของโลกเราไป
40:44ด้วยเทคโนโลยีที่ลำสมัยในปัจจุบันนี้ ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้คาดการ
40:50เหตุการณ์มหาภัยพิบัติที่จะมาเยือนโลกของเรานั้นอาจเกิดขึ้นอีก 1,000 ปีข้างหน้า
40:56หรือบางทีสนามแม่เหล็กโลกอาจถูกปิดไปเหมือนดาวอังคาร
41:00และหากเรารู้ล่วงหน้าขนาดนี้แล้ว เราจะมีความพร้อมมากแค่ไหน ที่จะรับมือกับมัน

แนะนำ